ท่ามกลางวิกฤตโคโรน่า ธุรกิจไหนน่าลงทุน?
ในสถานการณ์แบบนี้ อยากจะทำไรซักอย่าง หลายๆท่านก็คงจะคิดหนัก วันนี้เรามีแนวทางเล็กๆน้อยมาช่วยการตัดสินใจให้เฉียบคมยิ่งขึ้น ว่าในวิกฤตการณ์แบบนี้ ยังมีธุรกิจไหนน่าลงทุน

1 ลงทุนในหุ้น แม้ว่าสถานการณ์ตลาดหุ้นจะแดงเถือกดูน่าเป็นห่วง เพราะคนเทและคนขายต่างก็ไม่กล้าซื้อ แต่รู้หรือไม่ว่า นี่แหละ คือ โอกาส!
-สำหรับตัวผู้เขียนเองก็เคยมีประสบการณ์ ช้อนหุ้นซื้อในเหตุการณ์ 13 ตุลาคม 2559 และได้กำไรจากหุ้นตัวนั้นมา 100% แนะนำเลือกหุ้นพื้นฐานดี ถือยาว 6 เดือน โดยเลือกกลุ่มหุ้นใน Set100 และ Set50 นั่นเอง แต่การลงทุนนี้ไม่เหมาะกับคนที่ต้องการใช้เงินในระยะสั้น ควรมีเวลาถืออย่างน้อย 5-6เดือนขึ้นไป àค้นหุ้นและผลประกอบการได้ที่ www.set.or.th
*หุ้นใน Set100 คือ หุ้นพื้นฐานดี 100 ตัวแรกในตลาด และSet50 คือ หุ้นพื้นฐานดี 50 ตัวแรกในตลาด ที่มีความเสี่ยงต่ำ
-ในสถานการณ์สุ่มเสี่ยงแบบนี้ สำหรับตัวผู้เขียนจะเลือกลงทุนหุ้น กลุ่มสุขภาพ เนื่องจากประเทศไทยประสบหลายปัญหาไม่ว่าจะเป็น ไวรัสโคโรน่า ฝุ่นPM2.5 และสังคมผู้สูงอายุ ทำให้กลุ่มนี้น่าจับตามองที่สุด ส่วนกลุ่มที่ควรหลีกเลี่ยงการลงทุน คือ ธุรกิจสายการบินและโรงแรม เพราะคาดว่ากว่าประเทศจีนจะกลับมาฟื้นตัวคงไม่ต่ำกว่า 6 เดือน และคงใช้เวลาไม่น้อย กว่าการท่องเที่ยวจะกลับมาครึกครื้นอีกครั้ง
สรุป ผู้เขียนแนะนำว่าควรซื้อหุ้นราคาถูกในช่วงนี้ บนหุ้นพื้นฐานดีในกลุ่มสุขภาพ ประกันภัย และหลีกเลี่ยงหุ้นในกลุ่มธุรกิจท่องเที่ยว
2. การนำเข้าสินค้ามาขาย ในช่วงนี้หากท่านใดนำเข้าสินค้า จะรู้ดีว่าค่าเงินบาทอ่อนเท่ากับว่าซื้อของมาขายในราคาที่แพงขึ้น ซึ่งก่อนหน้านี้ท่านใดที่ตามข่าวจะเห็นได้ชัดว่าเงินบาทแข็งค่ามา หากซื้อไว้ตอนนั้นแล้วขายตอนนี้คงรวยกันอื้อซ่า แต่ก็นั่นแหละ เพราะเงินมันไม่ได้ถูกเอาไปใช้บนดาวอังคาร ดังนั้นถ้าหากเงินในเศรษฐกิจส่วนหนึ่งลดลง แสดงว่ามันหมุนไปอยู่อีกส่วนหนึ่ง ซึ่งต้องรู้จักเลือกลงทุนให้เหมาะสมกับแต่ละสถานการณ์
*ค่าเงินบาทอ่อน คือ การใช้เงินบาทมากขึ้นเพื่อเอาไปแลกเป็นเงินสกุลอื่น เช่น เมื่อวาน เงินไทย 35 บาท = 1 ดอลลาร์ แต่วันนี้อาจจะต้องใช้เงินไทยถึง 36 บาท = 1 ดอลลาร์
สรุป ผู้เขียนแนะนำว่าช่วงนี้ค่าเงินบาทอ่อนจะทำให้การนำเข้าสินค้ามีต้นทุนสูงขึ้นและการบริการเพิ่มขึ้น หากใครที่ชอบขายตัดราคาหรือไม่ได้บวกต้นทุนเผื่อความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนในต้นทุน ก็อาจได้รับความเดือดร้อน แต่หลักการเล่นค่าเงินบาทจะสวนทางกับคนที่เล่นค่าเงินหรือหุ้นต่างประเทศและทองคำ เพราะเงินจะไหลมาในส่วนนี้ ซึ่งนักลงทุนต่างประเทศที่ขายหุ้นก็จะแลกเงินหรือถือเงินสด และซื้อทองคำกันไป
3. การขายของออนไลน์ สำหรับผู้เขียนมองว่าเป็นธุรกิจหนึ่งในการลงทุนและถ้าเทียบกับธุรกิจอื่นๆ ก็นับว่าได้ผลตอบแทนสูงที่สุดเมื่อเฉลี่ยเทียบกับช่องทางอื่นๆ แต่ก็ต้องใช้เวลาและลงแรงมากกว่าการลงทุนใน 2 แบบแรกที่กล่าวมา และแน่นอนว่าผลตอบแทนมากก็ย่อมมาพร้อมความเสี่ยงที่มากขึ้นเช่นกัน
สรุป ผู้เขียนเชื่อว่า การขายออนไลน์จะยังคงเติบโตสวนทางกับการขายออฟไลน์ที่จะถูกลดบทบาทลง แม้ว่าเริ่มต้นปีนี้เศรษฐกิจจะแย่และซบเซา หากใครที่มองช่องทางนี้ไว้ ผู้เขียนก็คิดว่ายังคงเป็นช่องทางที่น่าลงทุนและสามารถเริ่มตอนนี้ได้เลย
(การวิเคราะห์นี้มีที่มาจากข้อมูล ประสบการณ์ และการลงทุนธุรกิจในขณะนี้ ซึ่งไม่มีถูกผิด หรือสูตรตายตัว หากท่านใดมีความเห็นต่างก็สามารถมาร่วมแชร์แลกเปลี่ยนมุมมองกันได้อย่างสุภาพ)
Comments
0 comments