รอดแล้วจ้ะแม่จ๋า สาวสวยใช้ประกันสังคม เช็คเชื้อโควิด19 ฟรี

สาวสวยไร้นามออกมาเปิดเผยข้อมูลหลังกลับจากเที่ยวญี่ปุ่นวันที่14-19 กพ. ซึ่งเป็นช่วงคาบเกี่ยวที่สาธารณสุขญี่ปุ่นออกมาประกาศยกระดับความรุนแรงเป็นTier3 !

โดยเรื่องราวนี้ถูกแชร์ออกมาจากเฟสของเธอ มีใจความว่า “เนื่องจากเราไปเที่ยวญี่ปุ่นมาวันที่ 14-19 ก.พ. ซึ่งเป็นช่วงคาบเกี่ยวที่สาธารณสุขประกาศ ว่าญี่ปุ่นอยู่ระดับ 3 ถ้าไม่จำเป็นไม่ให้เดินทางไปเที่ยว แต่ตอนนั้นเราอยู่ที่ญี่ปุ่นแล้ว ทำไรไม่ได้ แต่ระหว่างที่อยู่ที่นั่น เราก็ล้างมือแล้วปิดแมส ระวังการหยิบจับ พกแอลกอฮอล์ หลังจบทริป ตอนที่ลงจากเครื่องมา ไม่ได้มีไข้อะไร ก็เลยผ่านมาได้ปกติ เราทำใจไว้แล้วว่ากลับมาแล้วต้องรับผิดชอบต่อสังคม เราทำใจถึงกระทั่งว่า กลับมาที่ไทยต้องมีคนรังเกียจ และพูดจาไม่ดีใส่ ซึ่งเราโอเค ใจเขาใจเรา เราก็เข้าใจคนอื่นว่าเค้ารู้สึกไง”

ต่อมาวันที่23 ก.พ. เธอเริ่มรู้สึกว่ามีอาการไข้และปวดเมื่อยตามร่างกาย แต่ไม่มีอาการไอจาม น้ำมูก หรือเหนื่อยหอบรุนแรง แต่เธอก็ไม่นิ่งนอนใจรีบพบแพทย์ทันทีภายในวันเดียวกัน โดยที่เธอใช้สิทธิ์ประกันสังคมที่โรงพยาบาลแพทย์รังสิต ซึ่งทางทีมคุณหมอและพยาบาลก็ได้ดูแลเธอดีมากๆ พาไปห้องแยกคัดกรองเฉพาะผู้ป่วยที่ต้องเฝ้าระวังโคโรน่า และปิดโซนเพื่อไม่ให้มีผู้ป่วยประเภทอื่นเข้ามา

การตรวจครั้งที่ 1 เริ่มขึ้นในเวลา 8.30 – 10.00 น. เป็นการตรวจเบื้องต้น อาทิ ตรวจเลือด เอ็กซเรย์ปอด ตรวจจมูกแบบไข้หวัดใหญ่ เนื่องจากมีประวัติเคยเดินทางไปประเทศที่มีภาวะเสี่ยง 

การตรวจครั้งที่ 2 เริ่มขึ้นในเวลา 11.00 น. ทำการเข้าพบคุณหมอและพยาบาลที่มาในชุดป้องกันร่างกาย ตา จมูก เพราะถือว่าเราเป็นผู้เข้าข่ายต้องเฝ้าระวัง จากนั้นมีการซักประวัติว่ามีพฤติกรรมเที่ยวต่างประเทศอย่างไร แล้วจึงเก็บตัวอย่างการตรวจมูกแบบไข้หวัดใหญ่ (ไม้ยาวแหย่จมูก) และตรวจคอ ( ไม้ยาวแหย่ลงคอ )

ต่อมาราวๆ 12.00 น. พยาบาลเข้ามาแจ้งการขึ้นทะเบียนกับสาธารณสุขว่าเป็นผู้ป่วยเฝ้าระวังต้องกักตัวและดูอาการที่ห้องปลอดเชื้อ ICU โดยต้องเซ็นเอกสารยืนยันเข้ารับการรักษา

ในช่วงบ่ายเวลา 13.00 น. ภายในห้องปลอดเชื้อที่ต้องอาศัยอยู่ชั่วคราวไม่มีอากาศภายนอก ไม่มีทีวี มีแต่เครื่องตรวจวัดตามร่างกาย 5 จุด เครื่องให้ออกซิเจน และเครื่องวัดความดันที่จะวัดทุกๆ 1 ชั่วโมงรายงานผลทางจอมอนิเตอร์ แล้วจะมีการวัดไข้ทุก 4 ชั่วโมงต้องใส่ออกซิเจนเพิ่มเติม เพราะว่าร่างกายมีออกซิเจนต่ำ บรรยากาศภายในห้องค่อนข้างเงียบและอึมครึม ไม่มีอะไรให้ทำนอกจากมองนาฬิกาผ่านไปช้าๆ ทั้งตึงเครียด กลัวและกังวล ที่สำคัญห้ามลงจากเตียง ซึ่งเจ้าหน้าที่จะเข้ามาในห้องทุกครั้ง ไม่ว่าจะปวดฉี่หรือต้องการอะไร โดยจะสวมชุดป้องกันเสมอๆ  ถือเป็นเรื่องที่ดีมากๆ ที่มีการป้องกัน

การตรวจครั้งที่ 3 เริ่มขึ้นเวลา 17.00 น. คุณหมอเข้ามาตรวจปอด คอ และเช็คออกซิเจนในร่างกายพร้อมทั้งอธิบายว่า ” ผลตรวจที่กำลังจะออกเป็นผลที่แน่ชัดลึกถึงรหัสพันธุกรรม ถ้าไม่มีเชื้อก็สามารถกลับบ้านได้ แต่ถ้ามีเชื้อก็ต้องทำการรักษาอย่างเร่งด่วน ซึ่งคุณหมอก็ได้เทรนพยาบาลอีกครั้ง เพื่อให้รัดกุมว่าต้องดูแลอย่างไร “

“ความรู้สึกหลังจากพบคุณหมอ… เราเผื่อใจไว้แล้ว 50/50 ภาพในหัวทุกอย่างลอยมาหมด ภาพหน้าคนที่เรารักและหลายๆอย่าง แต่เราเชื่อมั่นในกระบวนการสาธารณสุขของประเทศไทย เพราะว่าเราได้มาสัมผัสจริงๆ มาทั้งหมอ พยาบาล เจ้าหน้าที่ แล้วก็ระบบการตรวจที่รัดกุมดีมาก ต่อให้เราเป็นเราก็มั่นใจว่าเราจะหายเพราะว่ามีคนที่รักษาหาย”

ต่อมาในช่วงเช้ามืดเวลา 05.30 น. พยาบาลมาแจ้งผลตรวจออกมาว่าเป็นลบไม่มีเชื้อโคโรน่า เป็นแค่ไข้ธรรมดา จากนั้นพยาบาลจึงเอาใบผลตรวจมาให้ดูเพื่อความสบายใจและทำการย้ายไปห้องพักปกติ

ต่อมาในเวลา 07.00 น. พยาบาลเข้ามาตรวจคลื่นหัวใจและสแกนปอดอีกครั้ง

ในช่วงบ่ายของวันเดียวกันเวลา 14.00 น. คุณหมอก็อนุญาตให้กลับบ้านได้ โดยแจ้งว่าร่างกายปลอดภัยจากไวรัส 100% แต่ถ้าหากมีไข้ในระยะนี้ให้กลับมาโรงพยาบาลอีกครั้งเพื่อเช็คเชื้อไวรัสอีกรอบ เพราะอาจจะมีเปอร์เซ็นต์ที่อาจจะติดก็ได้ และควรกักตัวเองต่อจนครบอีก 14 วันแล้วกลับมาพบแพทย์ตามนัดอีกครั้ง

ส่วนเรื่องประกันสังคม แบบไหนถึงใช้สิทธิ์ได้ เจ้าของโพสต์ได้กล่าวว่า

✅ ผู้ที่มีสิทธ์ใช้ประกันสังคม จะต้องมีอาการไอ จาม มีน้ำมูก เป็นไข้ เหนื่อยหอบ และได้ไปเที่ยวต่างประเทศในประเทศที่สุ่มเสี่ยงติดเชื้อจริง จะไม่มีค่าใช้จ่าย แต่ในกรณีไม่มีอาการสุ่มเสี่ยง แต่อยากตรวจเพื่อความสบายใจเท่านั้น ประกันสังคมจะไม่ครอบคลุมซึ่งจะต้องเสียค่าใช้จ่ายเองต่างหาก ค่าตรวจไวรัสโคโรน่าอยู่ที่ 7,000-8,000 บาท

** ราคานี้ยังไม่รวมค่าห้องพักที่รอผล ซึ่งขึ้นอยู่กับแต่ละโรงพยาบาล

ขอบคุณที่มาจาก Plernpin Jintakan และเพจInfectious